คิดผิดคิดใหม่ "เป็นชาวพุทธแท้" ต้องยากจน ชาวพุทธที่ดี เลิกคิด และเชื่อที่จะร่ำรวย งั้นเหรอ


งานบริการวิชาการสู่สังคม
-------
ดร. อุทิส ศิริวรรณ เล่าเรื่อง
Case Study กรณีศึกษา
ผู้นำชาวพุทธ ผู้เป็นแรงบันดาลใจ
ดร. ลี กา ชิง มหาเศรษฐีอันดับ ๒๐ ของโลก

ค้นคว้าและเขียนเป็นวิทยาทาน และธรรมทานไว้
สำหรับพระที่เผยแผ่ 
และอาจารย์มหาวิทยาลัยต่างๆ สาขาบริหาร
จะได้นำไปปรับใช้สอนในรายวิชาของท่าน

ไม่มีลิขสิทธิ์ Copy & Place ได้ ตามใจฉัน

--------------


ดร. ลีกาชิง เป็นมหาเศรษฐีอันดับที่ ๒๐ ของโลกในเวลานี้

http://www.forbes.com/profile/li-ka-shing/

เป็นคนที่วอร์เรน บัฟเฟตต์
ฝรั่ง ระดับ "มหาเศรษฐี" อันดับ ๒ ของโลก
แนะนำและยกย่องว่า
ดร. ลีเป็นผู้นำในโลกธุรกิจ
ทุกคนล้วนต้องการที่จะสร้างกำไร และเลียนแบบเขา
ดำเนินชีวิตตามคำพูดของคุณลี
ทำธุรกิจแบบเขา
ต่อให้ไม่เป็นมหาเศรษฐีแบบเขาแต่ก็ไม่มีทางเป็นยาจกอย่างแน่นอน
ปกติ ฝรั่งจะไม่ยกย่องคนเอเชียกันง่ายๆ

-------

คือในกลุ่มชาวพุทธเรา
มักจะ "ไม่ให้ราคา" ชาวพุทธด้วยกัน

มักจะมองว่า "ชาวพุทธ" ด้วยกันด้อยคุณภาพ และมาตรฐาน
กว่า "ฝรั่ง"

ดร. ลีกาชิง เป็นผู้นำชาวพุทธร่วมสมัย 
ที่ผมขอนำเสนอไว้เป็น "แรงบันดาลใจ" อีกราย 

----------

กว่า ๒ ทศวรรษที่ผมได้รับการปลูกฝัง
และถ่ายทอดคำสอน ความคิด และความเชื่อว่า...

"เป็นชาวพุทธแท้" ต้องยากจน
ชาวพุทธที่ดี เลิกคิดและเชื่อที่จะร่ำรวย


เกือบ ๓๐ ปี ผมก็เลยไม่กล้าคิดถึงความสำเร็จ
กลัวจะได้จะดีมีเป็นตำแหน่งใดๆ เกินผู้อาวุโส
ที่อยู่มานาน
กลัวจะร่ำรวย
ก็เลยจมปลักอยู่กับ "ความยากจน"
เพราะคิดและเชื่อตามที่ปลูกฝังว่า "เงินคือศัตรู"


ไม่กล้าที่จะอยาก ไม่ดิ้นรน ไม่ขวนขวาย
ไม่คิดที่จะต่อสู้เอาชนะ "ความยากจน"
ซึ่งเป็นเสมือนขุนเขาภูผามหึมา เป็น "กำแพง"
ความเชื่อที่ยากจะพังทลาย


หลายสิบปีต่อมา ในปี ๒๕๓๗ พลันทันทีที่ก้าวพ้นกำแพงวัด
เมื่อผมพาตัวไปอยู่ในกลุ่ม "MBA" ย่านดาวน์ทาวน์แมนฮัตตัน
มหานครนิวยอร์ก และเรียนต่อจนจบปริญญาเอก ในสาขาบริหารธุรกิจ ที่มหาวิทยาลัยของยิว เมืองฟอร์ตลอเดอร์เดล รัฐฟลอริดา
เน้นเจาะลึก "ธุรกิจระหว่างประเทศ"

ความคิดความเชื่อเก่าๆ เดิมๆ ก็ถูกทำลาย
วันที่ไม่กล้าคิด และไม่กล้าทำ
วันแล้ววันเล่าในนิวยอร์กเริ่มเปลี่ยนแปลงไป
และแล้วก็ถึงวันที่ผมต้องกล้าลุกขึ้นเปลี่ยนแปลงตนเอง!

ความจริงก็ค่อยๆ เปิดเผย และกระจ่างในเวลาต่อมาว่า
ที่ผมได้รับการปลูกฝัง ให้คิด และเชื่อ จนเคยชิน และชินชาว่า

"เป็นชาวพุทธแท้" ฐานะต้องยากจน ต้องสร้างภาพที่จะ
จนซ้ำซ้อน จนซ้ำซาก ต้องอยู่อย่างสมถะ ซึ่งเรียกกันว่า
โทรมๆ ใช้รถเก่า ซุกตัวอยู่ในห้องเช่าเก่าๆ แคบๆ
ห้องน้ำรวม


เป็นสิ่งที่ MBA ดาวน์ทาวน์นิวยอร์ก
ไม่เคยปลูกฝัง ไม่เคยสอนให้คิด ไม่เคยบังคับให้เชื่อ
ไม่เคยมีนโยบายให้ทำตัวเช่นนั้นเป็นอันขาด

และเมื่อผมได้พบกับ "ชาวพุทธ" ที่มาจากเกาหลี ไต้หวัน
จีน ฮ่องกง ญี่ปุ่น และ "ชาวฮินดู" จากอินเดีย และ "ชาวยิว"
ที่มาจากนานาประเทศ

ผมได้ค้นพบความจริงว่า "ชาวพุทธแท้"
ต้องสำเร็จต้องมีความรู้มีฐานะดี
ต้องไม่ใช่คนส่วนใหญ่ที่ล้มเหลวต่ำต้อยและยากจน


"ชาวพุทธที่มีคุณภาพอย่างแท้จริง" 
ต้องเป็นคนที่มีคุณวุฒิ
ต้องเป็นคนที่มีคุณภาพ 
ต้องเป็นคนที่มีคุณธรรม
ต้องเป็นคนที่มีฐานะดี
ต้องเป็นคนใช้ชีวิตหรูหรา 
ต้องเป็นคนกินอยู่อย่างดี 
ต้องเป็นคนมีรสนิยม 
ต้องเป็นคนแต่งตัวดี 
ต้องเป็นคนบุคลิกดี
ต้องเป็นคนใช้เครื่องประดับแล้วดูดี มีระดับ 
ต้องเป็นคนที่มีศักยภาพ
ต้องเป็นคนที่มีความรู้ความสามารถ
ต้องเป็นคนที่มีสติปํญญาปราดเปรื่องเฉลียวฉลาด ทันโลก ทันคน ทันยุค ทันสมัย ทันเหตุการณ์
ต้องเป็นคนที่อ่อนน้อม อ่อนโยน ไม่โอ้อวด ไม่อ่อนแอ
ต้องเป็นคนติดดิน ถ่อมตน พูดคุยกับคนได้หลากหลายวงการ

อย่าไปเคลิ้ม กับคนที่ปลูกฝังให้คิด และเชื่อว่า
"ชาวพุทธแท้ ต้องยากจน ต้องสมถะ
อำนาจ เงินตรา ชื่อเสียง ตำแหน่ง ความสุข คือความทุกข์"

ต้องแยกส่วน ระหว่าง
ชาวพุทธที่เป็น "คฤหัสถ์"
กับชาวพุทธที่เป็น "ภิกษุ"
อย่าเอาคำสอน ๒ อย่างไปปะปนกัน

ต้องแยกแยะให้เห็นชัดเจนว่า

ชาวบ้านก็ต้องคิดอย่างชาวบ้าน
พระก็ต้องคิดอย่างพระ

ทุกวันนี้ อ่านดูตามเฟซ
พระสอนให้ชาวบ้านคิดอย่างพระ

ส่วนชาวบ้านสอนพระให้คิดอย่างชาวบ้าน

เลยเกิด Convergence ในกลุ่มชาวพุทธเราในเวลานี้

โบราณใช้คำคม
คฤหัสถ์ชอบสวด นักบวชชอบร้อง
คือเป็นชาวบ้านก็อยากเป็นนักบวช
แค่อยากแต่ไม่ยอมบวชจริง
เป็นพระก็อยากเป็นชาวบ้าน
แค่อยากแต่ไม่ยอมเป็นชาวบ้านจริง

นี่คือค่านิยมที่ผมคิดจนตกผลึกจากภาพที่เห็น

เราจะแก้ปัญหานี้กันอย่างไร?
เบื่อก็เบื่อไม่จริง อยากก็อยากไม่จริง
ตกอยู่ในสภาวะเบื่อๆ อยากๆ
หลายคนเป็นกันมาก

ต้องสอน "ความจริง" ที่ถ่องแท้ว่า

ชาวบ้านก็คิดอย่างชาวบ้าน
พระก็คิดอย่างพระ

แยกขาดจากกันให้ชัดเจน

-----------------

๔-๕ ปีมานี้ ผมพยายามบุกเบิก วิจัย เก็บตัวอย่าง
"ชาวพุทธ" ที่เป็น "ชาวบ้าน"
ในหลากหลายวงการ ในและต่างประเทศ

ผมค้นพบความจริงอันน่าทึ่งว่า
"ชาวพุทธ" แท้ในไทย ในเวลานี้มีจำนวนมาก
เป็นศิษย์สายวัดป่าก็มี
เป็นศิษย์วัดสายธรรมยุติก็มี
เป็นศิษย์วัดสายมหานิกายก็มี
เป็นศิษย์วัดพระธรรมกายก็มี
เฉพาะในไทย ผมนับจำนวนได้ ๑ ล้านคนขึ้นไป
แต่ยังไม่ขอเปรียบเทียบให้เห็นภาพในเวลานี้

เมื่อวิจัยและค้นคว้าในระดับนานาชาติ
ผมก็ยิ่งตกตะลึงกับฐานข้อมูล
เพราะ ดร. คาซูโอะ อินาโมริ ผู้ก่อตั้งเคียวเซร่า ญี่ปุ่น
แจ็ค หม่า จากจีน ลีกาชิง จากฮ่องกง 
ลีคุณฮี ผู้ก่อตั้งซัมซุง สตีฟ จ็อบส์ ผู้ก่อตั้งสินค้าตระกูล I-
และมหาเศรษฐีที่ร่ำรวย 
ส่วนใหญ่ในเวลานี้ ที่ทันสมัย ดูดี มีระดับ มีคุณภาพชีวิตที่ดีเยี่ยม ระดับพรีเมียมเกรด
ต่างล้วนเป็น "ชาวพุทธ" ทั้งนั้น

-----------------

ผมไม่ได้ยกย่องชาวพุทธที่สำเร็จเพื่อข่มศาสนิกนิกายอื่นๆ
แต่ยกตัวอย่าง

เพื่อหักล้าง แนวคิด ทฤษฎี ค่านิยม คำสอน และความเชื่อ
ที่ปลูกฝังกันมานมนานในกลุ่ม "ชาววัด" ว่า
ชาวพุทธแท้ ต้องจน ต้องสันโดษ

ผมนำเสนอ "ความจริง" ในมิติใหม่ ในมองมุมใหม่ว่า 
ชาวพุทธแท้ ต้องเป็นคนมีคุณภาพ 
ชาวพุทธแท้ต้องเป็นคนมีความรู้กว้าง 
ชาวพุทธแท้ต้องเป็นคนมีฐานะดี ฐานะมั่นคง 
ชาวพุทธแท้ต้องเป็นคนมีรสนิยม หรูหรา โอ่อ่า ดูดี มีระดับ 
ชาวพุทธแท้ ต้องไม่ซอมซ่อ ไม่ซุกตัวอยู่ในห้องเช่าแคบๆ
หรือยากจนแม้กระทั่งบ้านก็ยังไม่มีจะอยู่ 
ชาวพุทธแท้ ทำตัวเรียบง่าย 
แต่งตัวง่ายๆ สบายๆ เรียบง่าย แต่ดูดี

ผมสังเกตว่า
คนที่ยากจน ต่ำต้อยจริงๆ
เข้าวัดหมาวัดยัง Smell
หมาวัดดมกลิ่นยังรู้เลยว่าคนนี้จนจริงๆ
อย่าทำตัวต่ำต้อย จนหมาวัดยังดูถูกไล่กัดเอา

บอกตรง ผมไม่อยากเห็นชาวพุทธที่เป็นชาวบ้านเป็นเช่นนั้น
เพราะเสียงพูดจาดูถูกประมาณนี้ มีได้ยินเข้าหูบ่อยครั้ง

พระต้องสอน และปลูกฝังค่านิยม "ชาวบ้าน" ว่า
ให้เกิดแรงบันดาลใจ เกิดความอยากได้อยากดีอยากมีอยากเป็น
ในทางดี
สอนให้ลุกขึ้นมาต่อสู้ชีวิต เอาชนะความยากจน
ต้องขยัน ต้องต่อสู้ ต้องดิ้นรนทุกวิถีทาง
สอนให้ชาวบ้านคิดหาหลักการ วิธีการ กระบวนการ
ขั้นตอน และระบบ
เอาชนะ ความยากจน ให้จงได้
โดยสอนให้มีไฟมึแรงบันดาลใจ
คืออยากได้อยากดีอยากมีอยากเป็น
แต่ไม่โลภ ได้แล้วก็ทำบุญทำทาน
เหมือน ดร. ลีกาชิง


แพ้ไม่เป็น ชนะไม่เลิก
ต้องสอนแบบนี้ !


ไม่ใช่ให้ชาวบ้าน ลด ละ เลิก
แล้วชาวบ้านขาดการตีความ
เมื่อไม่คิดทำมาหากิน
จะเหลือเงินส่วนเกินที่ไหนมาทำบุญ

ยกเว้นไว้เสียแต่ว่า
ชาวบ้านมั่งมี มั่นคง ฐานะดีแล้ว
จึงค่อยยกระดับขึ้นสู่สภาวะ
สัทธา - สีล - จาคะ - ปัญญา

คือถ้าตราบใด เรายังสอนชาวพุทธด้วยกัน
โดย "คำสอน" ยังคลุมเครือ และคาบเกี่ยว
ชาวพุทธที่เป็นชาวบ้านก็จะสับสน
ชาวพุทธที่เป็นชาววัด ก็จะงุนงง

แต่คำสอนสำหรับพระ
ผมเห็นด้วยต้องสอนให้พระ
ลด ละ เลิก

สังคมชาวพุทธไทย สับสนกันมากในเวลานี้
ผมอ่านพระวินัยปิฎก และพระสุตตันตปิฎก
พระพุทธเจ้าแยกคำสอนไว้ชัดเจน
ระหว่างสอนชาวบ้าน กับสอนพระ

แต่เวลาเราเอาคำสอนมาใช้เรียนใช้สอนกัน
พระกับชาวบ้าน สอนปะปนกัน
จนสับสนทางความคิด

------------

ผมวิจัยศาสตร์ทางบริหารธุรกิจ
หลักการสอน ชัดเจน
ต้องเข้าใจ 4M
M: Man บริหารคน
M: Money บริหารเงิน
M: Material บริหารสิ่งของ
M: Method บริหารหลักการ-วิธีการ-กระบวนการ-ขั้นตอน-ระบบ

จนค้นพบและกล้ายืนยันว่า 
คนที่ "สำเร็จ" ได้จริง คือคนที่
กล้าคิด และกล้าทำ
"ความฝัน" กับ "ความจริง" ให้เกิดขึ้นจริง 
ส่วนคนที่ "ล้มเหลว" คือคนที่ไม่สามารถ
เปลี่ยนแปลง "ความฝัน" 
ให้กลายเป็น "ความจริง" ได้ดั่งที่ใจคิด

ดังนั้น ถ้าจะทำ "ฝัน" ให้ "จริง"
ก็อย่ารู้สึก เอ๊ะ อ๊ะ ลังเล เคลือบแคลง สงสัย

ชาวพุทธแท้ ต้องปรับใช้ "หลักธรรม" ที่นำไปสู่ความสำเร็จ
ยกตัวอย่างเช่น "ปัญญา ๓ : สุตมยปัญญา ปัญญาเกิดจากการฟัง และการอ่าน จินตามยปัญญา ปัญญาเกิดจากการใช้ความคิด ภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดจากการภาวนา คิดทบทวน ปรับปรุง แก้ไข เปลี่ยนแปลง"

คือต้องอ่านเยอะๆ คิดเยอะๆ คบหาคนมีคุณภาพเยอะๆ
คนที่อ่านน้อย คิดไม่เป็น ด้อยคุณภาพ
จะเสียเปรียบคนที่อ่านมาก คิดเป็น คบแต่คนมีคุณภาพ

------------

ลีกาชิง ใช้ผลงานจาก "อำนาจ - เงินตรา - ชื่อเสียง - ตำแหน่ง - ความสุข" เกิดจากการเป็นมหาเศรษฐีของโลก อันดับที่ ๒๐ เข้าตา "กรรมการสภามหาวิทยาลัย"
จนได้รับยกย่องให้เป็น ดร. กิตติมศักดิ์ จาก Peking University, the University of Hong Kong, The Hong Kong University of Science and Technology, The Chinese University of Hong Kong, City University of Hong Kong, The Open University of Hong Kong, University of Calgary in Canada and Cambridge University in the United Kingdom

รวมเป็น ดร. จาก ๘ มหาวิทยาลัยนานาชาติ

มหาจุฬาฯ น่าจะมอบ ดร. ให้อีกสาขาเป็นใบที่ ๙
เพราะนี่คือ "ผู้นำชาวพุทธ" ระดับโลก ของชาวพุทธเรา
ฝากไว้ให้คิดกัน


---------

ที่ผมสนใจชีวิตและงานของ ดร. ลีกาชิง
เพราะเขาเป็นจีนเชื้อสาย "แต้จิ๋ว" เหมือนที่ผมเป็น
สำคัญคือ เขาเป็นผู้นำธุรกิจ เป็นเจ้าสัวที่เป็น "ชาวพุทธ"

ครอบครัวเขาอพยพจากจีนแผ่นดินใหญ่ไปอยู่ฮ่องกง
และทุกวันนี้เขามีสถานะเป็น "ชาวฮ่องกง" ไปแล้ว

เขาเป็นคนที่ผมมักจะได้ยิน ท่านเจ้าสัว ดร. สมศักดิ์ ลีสวัสดิ์ตระกูลเอ่ยชื่อให้ผมได้ยินบ่อยๆ เมื่อครั้งร่วมงานกัน

เป็นต้นแบบและเป็นแรงบันดาลใจของท่านเจ้าสัว ดร. สมศักดิ์
ทราบว่าเป็นเครือญาติกันอีกด้วย

ภาษิตว่า คบคนเช่นไร เป็นคนเช่นนั้น

อยากมีโชคมีลาภ ก็คบหากับคนมีโชคมีลาภ
อยากซวย ก็คบหากับคนดวงซวย
อยากดวงดี ก็คบหากับคนดวงดี
อยากเป็นเจ้าสัว ก็ให้คบหากับเจ้าสัว
อยากเป็นปราชญ์ ก็ให้คบหากับปราชญ์
อยากเป็นคนมีคุณภาพ ก็ให้คบหากับคนมีคุณภาพ
อยากเป็นคนมีความรู้ ก็ให้คบหากับคนมีความรู้
อยากเป็น ดร. ก็ให้คบหากับคนเป็น ดร.
อยากมีเงิน ก็ให้คบหากับคนมีเงิน
อยากรวย ก็ให้คบหากับคนรวย
อยากสำเร็จ ก็ให้คบหากับคนสำเร็จ
อยากเรียนเก่ง ก็ให้คบหากันคนเรียนเก่ง
อยากทำงานเก่ง ก็ให้คบหากับคนทำงานเก่ง
อยากดี ก็ให้คบหากับคนดี
อยากเด่น ก็ให้คบหากับคนเด่น
อยากดัง ก็ให้คบหากับคนดัง
อยากมีชื่อเสียง ก็ให้คบหากับคนมีชื่อเสียง
อยากใจกว้าง ก็ให้คบหากับคนใจกว้าง
อยากกิน ก็ให้คบหากับคนชอบกิน
อยากเที่ยว ก็ให้คบหากับคนชอบเที่ยว
อยากเป็นคนคิดลบคิดร้าย มองโลกในแง่ร้าย
ก็ให้คบหากับคนคิดลบคิดร้าย มองโลกในแง่ร้าย
อยากเป็นคนคิดบวก คิดกว้าง คิดไกล ใฝ่สูง
ก็ให้คบกับคนคิดบวก คิดกว้าง คิดไกล ใฝ่สูง

ทุกอย่าง อยู่ที่เรา "อยาก" "คิด" และ "เลือก"

----------------

ชีวิตเจ้าสัวต่างๆ เริ่มต้นจากศูนย์
แต่สร้างตัวได้ เพราะ "อยาก - คิด - เลือก" ที่จะมี
"คุณภาพชีวิต" เหนือกว่า "มนุษย์ปุถุชนระดับปกติ"


มนุษย์ปุถุชนจำเป็นต้องค้นหา เสาะแสวงหา ๖ ปัจจัยที่ขับเคลื่อนชีวิตไปสู่ความสำเร็จที่ยั่งยืน
ความรู้ - อำนาจ - เงินตรา - ชื่อเสียง - ตำแหน่ง - ความสุข
ทั้ง ๖ ปัจจัยเป็นสิ่งที่มนุษย์ปุถุชน ควรกล้าที่จะคิด และกล้าที่จะทำให้เกิด และมีในตัว

ความรู้ ในที่นี้ ผมนิยามรวมถึง
ความรู้ในการประกอบอาชีพ
และความรู้หลักธรรม ที่นำไปสู่ความเชื่อ
ซึ่งมีผลต่อการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงชีวิต
ไปสู่ "ความสำเร็จ" ที่เป็นรูปธรรม

-------------

ใครที่สนใจศาสตร์บริหารธุรกิจ
ถ้ายังไม่ได้เรียน MBA มหาวิทยาลัยใดๆ

ผมแนะนำให้กล้าลงทุนทางความคิด
หาหนังสือใหม่เล่มนี้มาอ่านจุดประกาย
ซื้อจากร้านนายอินทร์เมื่อวานนี้เอง
พลิกดู พิมพ์ในปี ๒๕๕๙ หนังสือใหม่ เพิ่งวางแผง
ราคา ๓๖๕ บาท

ผมตะลุยอ่านหนังสือเล่มนี้หนา ๔๑๖ หน้าคืนเดียวจบ ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง หลังอ่านเนื้อหาสรุปแบบคร่าวๆ จนจบแล้ว
ผมว่าใครได้อ่าน ชีวิตและงานท่านเจ้าสัว
"ความคิดเปลี่ยน" และ "ชีวิตเปลี่ยน" ในด้านดีจริงๆ
ข้อดีของศาสตร์การวิจัยสมัยใหม่
ฝรั่งสอนให้อ่านหนังสือเป็น
จะอ่านหนังสือแตก และอ่านหนังสือได้เร็ว

เมื่อก่อนบอกตามตรง
ผมกลัวหนังสือเล่มหนาๆ เล่มโตๆ
กลัวภาษาอังกฤษมาก

เดี๋ยวนี้ผมอ่านเป็น อ่านแตก และอ่านเร็ว
แต่ได้ใจความ

-----------

สรุปชีวิตและการต่อสู้ของท่านเจ้าสัว 
ท่านเดินข้ามเขา ๒ ลูกได้สำเร็จ

"ภูเขา" ลูกแรก
ท่านเรียนรู้ "หลักธรรม" ภาคประสบการณ์ชีวิต
อดทน และต่อสู้ จน "มั่งมี" ฐานะ "มั่นคง" เสียก่อน 
ท่านปรับใช้ "หลักธรรม" ในชีวิตอย่างง่ายๆ
คือเรียนรู้จากชีวิตจริงว่า

ต้องขยัน
ต้องมีสติ
ต้องกล้าที่จะคิด
ต้องหมั่นสังเกต
ต้องสุขุม
ต้องรอบคอบ
ต้องอย่าใจร้อน
ต้องฝึกตน
ต้องเป็นคนมีสัจจะ
ต้องอดทน
ตัองรู้จักรอเวลา
ต้องคบคนเป็น
ต้องเลือกคนที่จะคบ

เพราะการจะมีเงิน จนถึงขั้นมีเพียงพอที่จะจับจ่ายใช้สอย
และไม่เป็นหนี้สิน อยู่สุขสบายแบบ "เจ้าสัว"

เจ้าตัวจะต้องซื่อสัตย์ ทุ่มเท ตั้งใจทำงาน
รับผิดชอบงานในหน้าที่ และเลือกทำงานที่ไม่มีโทษ
งานสุจริต ไม่มีงานใดที่รวยแบบโชคช่วย
เป็นงานที่ต้องใช้เวลาด้วยกันทั้งนั้น


หลังจากมีเงินทองมีฐานะมั่นคงกลายเป็น "เจ้าสัว"
ท่านจึงค่อยเดิน
 
"ขึ้นเขา" ลูกที่ ๒
ฝึกจิตให้มี "สัทธา - สีล - จาคะ - ปัญญา"
เพื่อสะสม "กองทุน" ติดตัวไปใช้ทุกภพทุกชาติ

ท่านจึงได้บริจาคทุนทรัพย์เกือบ ๖ พันล้านบาท
ถวายพระนิกายพุทธมหายานที่อยู่เบื้องหลังให้คำปรึกษา
และท่านเคารพนับถือจนร่ำรวย
สร้างวัดใหม่ วัดใหญ่ ชื่อ TsZ Shan Monastery

http://www.tszshan.org/home/new/zh-hk/index.php#page_latest

--------

ส่วนภูผาลูกที่ ๓ "นิพพาน"

ค่อยเสาะแสวงหา " Master" หรือ
"ครูบาอาจารย์" บำเพ็ญเพียรจิตภาวนา
หนทางสู่นิพพาน ยังอีกยาวไกล

ผมสรุปจากที่อ่านชีวิตท่านเจ้าสัวว่า
ทุกวันนี้ บางทีอาจถึงคราต้อง "ปฏิรูป"
บทเรียนบริหารธุรกิจ และหลักธรรมสำหรับบริหารธุรกิจ
โดยใช้ "นวัตกรรม" นำเสนอหลักสูตรต่อกระทรวงศึกษาธิการกันใหม่

หลักการ กระบวนการ วิธีการ ขั้นตอน และระบบ
การเรียนรู้พระพุทธศาสนา ให้เห็นภาพ
พระพุทธศาสนาใน ๓ มิติ
ภูผาลูกแรก : อัตถิสุข โภคสุข อนณสุข อนวัชชสุข
ภูผาลูกที่ ๒ : สัทธา สีล จาคะ ปัญญา
ภูผาลูกที่ ๓ : นิพพาน


น่าจะร่วมกันคิด ร่วมกันทำ ร่วมกันเสนอนโยบาย
ให้รัฐ ระดมทีมทำวิจัย คิด วิเคราะห์ สังเคราะห์ จำแนก แยกแยะ
เปรียบเทียบ ตีความ หลักธัมมะ และบุคคลต้นแบบที่ใช้ธัมมะ
ดำเนินชีวิต จนประสบความสำเร็จ กลายเป็น "ท่านเจ้าสัว"
มี "ตำแหน่งมหาเศรษฐี" ซึ่งสำคัญและไม่ยิ่งหย่อนไปกว่า
"ตำแหน่งนายพล" "ตำแหน่งรัฐมนตรี" "ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี"
"ตำแหน่งทางวิชาการ"

"ตำแหน่งมหาเศรษฐี" ตั้งเองได้ เป็นกันเองได้
และไม่จำกัดจำนวน
น่าสนใจ คล้ายกับ "ตำแหน่งนักปราชญ์"


--------------

สรุปจากชีวิต และงานของท่านเจ้าสัว 
ดร. ลีกาชิง มีปัจจัยแห่งความสำเร็จเกิดจาก 

๑. คิด
๒. ฝัน
๓. หวัง
๔. จินตนาการ
๕. วิเคราะห์
๖. สังเคราะห์
๗. จำแนก
๘. แยกแยะ
๙. เปรียบเทียบ
๑๐. ตีความ
๑๑. ปรับใช้
๑๒. ลอกเลียน
๑๓. เรียนรู้
๑๔. สร้างต้นแบบ

ท่าน ดร. ลีกาชิง เป็นแรงบันดาลใจ นำไปสู่การค้นพบช่องทาง
และโอกาสคือ "ความเฮง" หรือ "โชคดี" หรือ "ความสำเร็จ"
สร้างตัว สร้างฐานะ สร้างรายได้
ในทางสาขาวิชา "บริหารธุรกิจ"
ซึ่งเคล็ดวิชาดังกล่าว ท่านเจ้าสัวได้ลอกเลียนและเรียนรู้
โดยใช้นวัตกรรม และเทคโนโลยีทันสมัย ควบคู่กับหลักฮวงจุ้ย
สรุปได้ ๕ ข้อคือท่านมีวิสัยทัศน์ ค้นพบโอกาสร่ำรวย
๑. มีหลักการ
๒. มีวิธีการ
๓. ทำตามกระบวนการ
๔. ทำตามขั้นตอน
๕. ทำเป็นระบบ 

พัฒนาตนให้มีความรู้ ความสามารถ และสติปัญญา
จนสร้างเงิน สร้างงาน สร้างรายได้ สร้างแนวคิด
สร้างทฤษฎี สร้างวิถีสู่ความสำเร็จจากการ "บริหารธุรกิจ"
เป็นของตนเอง

------------

วัดในฮ่องกงนี้เป็นวัดในฝันที่ผมอยากเดินทางไป
ครั้งหนึ่งในชีวิต แต่เป็นวัดที่ต้องลงทะเบียนก่อนไป
วันหนึ่งๆ จำกัดจำนวนผู้ไปเยี่ยมวัด วันละ ๔๐๐ คนเท่านั้น




Latest
Previous
Next Post »

2 ความคิดเห็น

Write ความคิดเห็น
Unknown
AUTHOR
3 ตุลาคม 2559 เวลา 01:21 delete

ใช่เลย ชาวพุทธต้องมีคุณสมบัติดีๆ อยู่ในตัว พัฒนาตนให้สำเร็จเป้าหมายชีวิตทั้ง 3 ระดับตั้งบนดิน บนฟ้าและเหนือฟ้า...ชาวพุทธต้องได้ต้องมีรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ คถณสมบัติและบริวารสมบัติเพื่อเอาไว้สั่งสมบุญสร้างบารมีได้อย่างสะดวกสบายค่ะ

Reply
avatar
Sombat
AUTHOR
18 มิถุนายน 2560 เวลา 04:42 delete

ภูเขาลูกที่หนึ่ง คนไทยน่าจะเกินครึ่งประเทศรึเปล่าครับ ที่อาจสอบตกเพราะขาดสัจจะ ไม่เลือก(หรือเลือกผลประโยชน์)คบคนดีมีศีลธรรม คนเป็นเช่นไร ชุมชนนั้นย่อมเป็นเช่นเดียวกันครับ✨😀

Reply
avatar