เผยความไม่ชอบมาพากล คดีวัดพระธรรมกาย

เผยความไม่ชอบมาพากล
คดีวัดพระธรรมกาย ตอนที่ 1

สาเหตุของความระแวงนั้น มาจากพื้นฐานความกลัวในใจ พอกลัวก็เลยมโนว่าคนอื่นจะทำร้าย หรือทำให้ตนเองเสียหาย ยิ่งมโนมากก็ยิ่งระแวงมากขึ้น

เมื่อระแวงหนักสุดขีด ก็มักคิดหาวิธีป้องกันตนเอง ด้วยการทำร้ายคนอื่นก่อน เลยกลายเป็นก่อศัตรูโดยไม่จำเป็น

ถ้าอยากเลิกนิสัยขี้ระแวง ต้องหัดมองบวก มองคนอื่นในแง่ดีให้มากขึ้น และเลิกคบคนช่างระแวง เลิกคบคนช่างยุ หันมาคบคนคิดบวก หัดสวดมนต์นั่งสมาธิเสียบ้าง ให้ใจสงบจะได้เลิกระแวงเสียที

ดิฉันเขียนเรื่องนี้ มีเหตุมาจากกรณีที่วัดพระธรรมกายถูกระแวง และกลั่นแกล้งด้วยการใส่ร้ายต่างๆ นานา จนคนเข้าใจผิดกันไปครึ่งค่อนเมือง แม้แต่ภาครัฐก็ยังถูกยุยงให้เข้าใจผิดไปเลยค่ะ

วันนี้ดิฉันจึงขอโอกาสในการอธิบายความจริงที่ตนเองสัมผัสมาถึง 31 ปี ให้ท่านผู้อ่านได้รับทราบบ้าง

ที่ผ่านมา ดิฉันเห็นว่าเรื่องนี้เป็นความเชื่อส่วนบุคคลไม่อยากนำมาเขียนในเพจนี้

แต่วันนี้คิดว่าจำเป็นต้องเล่าให้ฟังแล้วละค่ะ เพราะเรื่องมันไปกันใหญ่ ถึงขนาดจะมีกองกำลัง 1,000 นาย และรถถังหุ้มเกราะมาบุกจับตัว หลวงพ่อธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดนี้ไปด้วย

ถ้าไม่เล่าวันนี้ ก็ไม่แน่ใจว่าจะมีโอกาสได้เล่าอีกไหม เพราะได้ข่าวว่าจะมีการสร้างสถานการณ์เพื่อใช้ความรุนแรงกับเหล่าศิษย์ที่เข้ามารวมตัวกันอย่างสงบภายในวัดด้วย ซึ่งดิฉันก็อาจตกเป็นเหยื่อรายหนึ่ง

จึงขอเขียนเล่าตอนยังมีชีวิตอยู่ดีกว่านะคะ เพราะขืนเล่าตอนตายไปแล้ว ท่านผู้อ่านคงวิ่งหนีกันป่าราบแน่

เตือนไว้ก่อนนะคะว่าเรื่องมันยาว แต่ก็ช่วยอ่านให้จบเถอะค่ะ เพราะไม่ทราบว่าโพสต์นี้จะเป็นเรื่องสุดท้ายที่ได้เขียนให้อ่านหรือเปล่า

==================
อย่าแปลกใจว่า ทำไมลูกศิษย์วัดพระธรรมกายถึงเห็นตรงกันข้ามกับภาพที่มีการใส่ร้ายป้ายสีพระเทพญาณมหามุนี (หลวงพ่อธัมมชโย) จนคนในสังคมเห็นท่านเป็นผู้ร้าย

+ + + เพราะพวกเราพิสูจน์ด้วยตนเองจากการไตร่ตรองด้วยสติและปัญญาแล้วว่า ความจริงกับภาพที่ถูกสื่อออกไปจากผู้ไม่หวังดีเป็นคนละเรื่องกัน ต่างกันดุจท้องฟ้าและหุบเหว

จากการเข้าวัดพระธรรมกายอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 31 ปี ดิฉันเห็นแต่คุณงามความดีของหลวงพ่อธัมมชโย

* * * ยิ่งรู้จักยิ่งเลื่อมใสศรัทธาในตัวท่าน หลวงพ่อเป็นต้นบุญต้นแบบที่ดี ท่านปฏิบัติด้วยตนเอง และสอนให้ลูกศิษย์สั่งสมบุญ ทำความดี สร้างบารมีเพื่อขจัดกิเลสไปพระนิพพาน
ท่านสอนให้คิดดี พูดดี ทำดี ตลอดเวลา

+ + + + + แม้ในยามมีภัยเช่นนี้ ท่านก็บอกให้อยู่ในบุญ แก้ปัญหาด้วยสติปัญญา อย่าใช้อารมณ์ ให้หาทางออกด้วยหลักศีลธรรม + + + + +

ไม่ว่าใครจะทำร้ายท่านอย่างไร หลวงพ่อก็ไม่เคยโกรธแค้น ท่านให้อภัยเสมอ เพราะท่านเห็นว่า สิ่งที่เราพบเจอเป็นวิบากกรรมในอดีต ให้แก้ไขด้วยการทำความดี

ท่านสอนเสมอว่า อย่าหาทางออกด้วยวิธีผิดศีลธรรม เพราะมันจะยิ่งทำให้มีวิบากกรรมเพิ่มขึ้น

-------------------------------
= = = ในเรื่องข้อกล่าวหาต่างๆ นั้น มันก็ขัดแย้งกับสิ่งที่ลูกศิษย์เห็นโดยสิ้นเชิง = = =

วัดพระธรรมกายเจอคดีแปลกๆ ประจำ ประเภทถูกรังแกก็มีข่าวว่าไปรังแกเขา หรือเจ้าทรัพย์บอกวัดไม่ได้โกง ไม่ได้จะเอาเรื่องวัด แต่ภาครัฐกลับดึงดันว่าวัดโกง และจะจับยัดข้อหาให้ได้

ดังนั้น บรรดาลูกศิษย์จึงไม่เชื่อตามข่าวง่ายๆ แต่จะเชื่อสิ่งที่เห็นด้วยตาตนเองมากกว่า

ในช่วงสร้างวัดใหม่ๆ ก็ถูกโจมตีว่าเป็นคอมมิวนิสต์ พอไม่พบความผิด กระแสเรื่องคอมมิวนิสต์ก็จบไป

+ + + + + แล้วหันมาโจมตีวัดพระธรรมกายว่ารังแกชาวนา ทั้งที่วัดซื้อที่จากเจ้าของที่ดิน และให้เงินชดเชยแก่ชาวนาผู้เช่าที่ดิน

แถมยังถูกชาวนากลุ่มที่บอกว่าวัดรังแก บุกเข้ามาเผากุฏิและทุบพระประธานในวัดให้เสียหาย แต่ข่าวออกไปว่าวัดทำให้ชาวนาเดือดร้อน
ซึ่งตอนนั้นดิฉันก็เริ่มมาวัดพระธรรมกายแล้ว ได้เห็นกุฏิถูกเผา และพระประธานถูกทุบด้วยตาตนเอง เป็นพยานได้

!!! ถูกเขารังแกแท้ๆ แต่มีข่าวว่าไปรังแกเขา !!!

+ + + + + ต่อมาก็กล่าวหาเจ้าอาวาสว่ายักยอกทรัพย์ของวัด ทั้งที่เจ้าของทรัพย์ออกมาเป็นพยานว่า เขาถวายทรัพย์ให้พระเทพญาณมหามุนี (หลวงพ่อธัมมชโย) ผู้เป็นเจ้าอาวาสโดยตรง ไม่ได้ถวายให้วัด ท่านไม่ได้โกง

คดีเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมอยู่ 7 ปี ศาลก็ยกฟ้อง หลวงพ่อธัมมชโยไม่มีความผิด

!!! แปลกไหมล่ะคะ เจ้าทรัพย์ยืนยันว่าหลวงพ่อไม่ได้โกง แต่ถูกผู้ที่ไม่ใช่เจ้าทรัพย์ยัดเยียดข้อหา !!!

และคนบริจาคเงินทำบุญให้วัดพระธรรมกายไม่เคยออกมาโวยวายเลย มีแต่คนที่ไม่บริจาคเท่านั้นที่ออกมาโจมตี
-------------------------------

ก่อนจะอธิบายต่อในเรื่องของสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน ขอทำความเข้าใจก่อนว่า ตอนนี้หลวงพ่อธัมมชโยยังอยู่ในฐานะของ 
"ผู้ต้องหา"  ไม่ใช่ผู้กระทำความผิด

หมายความว่า ท่านเป็นเพียงผู้ที่ถูกตั้งข้อสงสัยว่า *** อาจจะกระทำผิด *** คดียังไม่ได้เข้าไปอยู่ในชั้นศาล ยังไม่มีการสอบสวน และพิจารณาให้ทราบว่าผิดจริงหรือไม่

ซึ่งตามกฎหมายยังถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่

-------------------------------

= = = คดีสหกรณ์ก็แปลกอีกแล้ว
ล่าสุด มีการตั้งข้อกล่าวหาหลวงพ่อธัมมชโยอีกแล้ว โดยหาว่าท่านรับของโจรและฟอกเงิน ซึ่งคดีนี้ก็มีความไม่ชอบมาพากลหลายประการ

เรื่องมันเริ่มจากคดีพิเศษที่ 146/2556 ซึ่งฟ้องคุณศุภชัย ศรีศุภอักษร ข้อหาสั่งจ่ายเช็คเอาเงินออกจากสหกรณ์และยักยอกทรัพย์นายจ้าง โดยคดีนี้ หลวงพ่อธัมมชโยอยู่ในฐานะ***พยาน***

วันที่ 16 มีนาคม 2558 ดีเอสไอ (DSI) เดินทางมาที่วัดพระธรรมกาย เพื่อสอบปากคำหลวงพ่อธัมมชโยในฐานะพยาน
-------------------------------

= = = จากพยาน ทำไมกลายเป็นผู้ถูกกล่าวหาไปได้
ต่อมาในวันที่ 29 ตุลาคม 2558 DSI ส่งสำนวนการสอบสวนนี้ไปยังอัยการ โดยเสนอให้ฟ้องหลวงพ่อธัมมชโยเป็นจำเลยร่วมกับ คุณศุภชัย ศรีศุภอักษร ในคดีพิเศษที่ 146/2556

แต่อัยการมีคำสั่งให้ฟ้องเฉพาะคุณศุภชัย ศรีศุภอักษร เท่านั้น !!!

*** สำหรับหลวงพ่อธัมมชโย อัยการมีคำสั่งว่า หาก DSI สามารถหาพยานหลักฐานมาเอาผิดเพิ่มเติมได้ ให้ส่งพยานหลักฐานนั้นมาที่อัยการเพื่อให้พิจารณาต่อไป
-------------------------------

= ? = ? = แปลกที่ 1 : มีธงจะยัดคดีหรือเปล่า ?
+ + + แทนที่ DSI จะหาพยานหลักฐานเพิ่มส่งให้อัยการ DSI กลับใช้หลักฐานเดิมของคดีพิเศษที่ 146/2556 นำมาตั้งคดีใหม่เป็น คดีพิเศษที่ 27/2559 เพื่อให้หลวงพ่อธัมมชโยเป็นจำเลยร่วมกับ คุณศุภชัย ศรีศุภอักษร ในข้อหาร่วมกันฟอกเงินและรับของโจร !!!

@!$!! ทนายความของหลวงพ่อจึงทำหนังสือถามไปทางอัยการว่า หลักฐานเดิมจะใช้ตั้งคดีใหม่ได้หรือไม่ อัยการมีหนังสือตอบมาว่าไม่ได้

!!! แต่ DSI ยังดึงดันตั้งเป็นคดีขึ้นมาจนได้ 

ทั้งที่ผิดขั้นตอนตามกฎหมาย !!!

* + * + ลองคิดดูว่าแปลกไหม DSI จะไม่รู้กฎหมายเชียวหรือคะ ถึงได้ใช้หลักฐานเดิมในคดีที่อัยการบอกว่าไม่เพียงพอที่จะฟ้องหลวงพ่อธัมมชโย มาตั้งเป็นคดีใหม่ * + * +

เหมือนกับว่าตั้งธงมาแล้ว ว่าต้องเอาผิดให้ได้ ในเมื่อคดีเก่าทำอะไรไม่ได้ ก็ต้องพยายามตั้งคดีใหม่ ให้เสียชื่อเสียงให้จงได้
-------------------------------

= ? = ? = แปลกที่ 2 : ขยันตามเงิน 10% แต่เงินอีก 90% ไม่รีบตาม
เงินสหกรณ์ที่หายไปประมาณ 12,000 ล้านบาท คุณศุภชัยก็นำมาบริจาคที่วัดพระธรรมกายและหลวงพ่อธัมชโยไม่ถึง 10%

* + * + แต่ DSI กลับขมีขมันในการตามเงิน 10% นี้ โดยไม่ไปไล่บี้ตามอีก 90% จากคนอื่นอย่างขยันขันแข็งเช่นเดียวกันเลย
บางรายที่เป็นคนสนิทนักการเมือง ก็รับไปตั้ง 20%

!!! แต่ก็ไม่เคยได้ยินข่าวเลยว่า DSI ในคดีสหกรณ์ไปตามเงินจากที่อื่นแบบจริงจัง รีบเร่ง และออกข่าวรายวัน อย่างที่ตามกับวัดพระธรรมกาย !!!
-------------------------------

= = = ทำไมวัดไม่สงสัยบ้าง เงินตั้งเยอะ ?
ในตอนที่หลวงพ่อและวัดรับบริจาคเงินนั้น ก็ไม่มีหลักฐานใดที่บ่งบอกว่าคุณศุภชัยยักยอกมา เพราะเขาบอกว่าทำธุรกิจหลายอย่างทั้ง เหมืองแร่ สายการบิน และอสังหาริมทรัพย์

+ + + คุณศุภชัยไม่ได้บริจาคเงินให้วัดพระธรรมกายที่เดียว เขามีการทำบุญวัดอื่นๆ หลายแห่ง ทั้งโรงเรียน มหาวิทยาลัย ทำบุญกับหน่วยงานสาธารณกุศลทั้งภาครัฐและเอกชนหลายแห่ง เช่น สภากาชาดไทย + + +

!!! แต่องค์กรอื่นที่ได้รับเงินบริจาคจากคุณศุภชัย ไม่มีใครถูกฟ้องเลยนะคะ แปลกดีนะคะ !!!

อีกทั้ง เจ้าภาพใหญ่ที่วัดพระธรรมกายก็มีหลายท่าน บางท่านบริจาคเงินมากกว่าคุณศุภชัยเสียอีก ทางวัดจึงไม่ได้เฉลียวใจ
-------------------------------

= = = ถ้าวางแผนโกง จะโง่รับเป็นเช็คเหรอ
เนื่องจากหลวงพ่อธัมมชโยและวัดพระธรรมกายบริสุทธิ์ใจ ไม่มีส่วนรู้เห็นในการยักยอก จึงรับเงินบริจาคทั้งหมดเป็นเช็ค และเดินบัญชีผ่านธนาคารทั้งรับและจ่าย ไม่มีการเบิกเป็นเงินสดแม้แต่บาทเดียว

+ + + คิดดูซิว่า ถ้ามีเจตนาจะร่วมกันยักยอกเงินจำนวนมากขนาดนั้น ใครจะกล้ารับเป็นเช็ค ใครจะกล้าเดินบัญชีผ่านธนาคารให้ ปปง. ตรวจสอบได้ + + +

การบริจาคเงินของคุณศุภชัยก็ทำอย่างเปิดเผย ต่อหน้าสาธารณชน ไม่มีการหลบซ่อนเหมือนกับการรับของโจรทั่วไปเลย

+ + + เมื่อรับบริจาคมาแล้ว ก็นำเงินทั้งหมดไปสร้างศาสนสถาน ไม่ได้เวียนกลับไปให้คุณศุภชัยแม้แต่น้อย ซึ่งก็ไม่เข้าข่ายฟอกเงินแน่นอน เพราะถ้าฟอกเงิน เงินนั้นต้องเวียนกลับไปที่คุณศุภชัย + + +

หลวงพ่อธัมมชโยไม่ได้นำเงินบริจาคไปเก็บไว้ใช้ส่วนตัว ความเป็นอยู่ส่วนตัวของท่านยังคงเรียบง่ายสมถะ ฉันน้อย ใช้น้อย แค่ให้เพียงพอต่อการยังชีพในสมณเพศ

ภาพกุฏิหรูหราที่ส่งต่อกันทางโซเชียล ไม่ใช่ของจริงนะคะ คนมือไม่ดีไปเอาภาพโบสถ์วัดสาขาในอังกฤษ บวกกับภาพโรงแรมที่ไหนก็ไม่รู้ มาเขียนบอกว่าเป็นกุฏิหลวงพ่อธัมมชโย ตอนนี้ผู้เผยแพร่คนนั้น เขาออกมาขอโทษแล้วนะคะ

+ + + ถ้าท่านจะโกงมาแล้วยังต้องกินอยู่อย่างประหยัด จะโกงมาทำไมคะ ?

@ @ @ ที่สำคัญ มโนปณิธานของท่านคือการสร้างบารมีเพื่อบรรลุมรรคผลนิพพาน ท่านสร้างวัดมาด้วยความยากลำบาก จนปัจจุบันอายุ 72 ปีแล้ว ก็เพื่อนำพามหาชนไปพระนิพพานไปด้วยกัน

+ + + + + แล้วท่านจะทำลายบุญบารมีที่สร้างมาทั้งชีวิตด้วยความยากลำบาก ด้วยการฉ้อโกงเงินเพื่ออะไร ?

ด้วยเหตุผลเหล่านี้ บรรดาลูกศิษย์จึงเชื่อมั่นในความบริสุทธิ์ของหลวงพ่อธัมมชโยตลอดมา

---> ลองตรองดูสักนิดนะคะ ว่าทำไมคนที่อยู่ใกล้ชิดและทำบุญกับหลวงพ่อธัมมชโย จึงไม่เคยสงสัยในตัวท่านเลย กลับออกมาปกป้องท่านด้วยความเชื่อมั่นอย่างสูงสุด
-------------------------------

= ? = ? = แปลกที่ 3 : ผู้เสียหายส่งหนังสือขอบคุณ แต่ DSI จะเอาเรื่อง
เมื่อเกิดเป็นคดีความขึ้น ทางคณะศิษยานุศิษย์ของวัดพระธรรมกาย ได้ร่วมกันจัดสรรกองทุนเยียวยาขึ้นมา เพื่อช่วยเหลือเต็มจำนวนเงินทั้งหมดที่ คุณศุภชัย ศรีศุภอักษร ได้บริจาคให้แก่วัดพระธรรมกายและหลวงพ่อธัมมชโย

สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน คลองจั่น จำกัด จึงถอนฟ้อง และทำหนังสือแสดงเจตจำนงไม่ประสงค์จะดำเนินคดีทั้งทางแพ่ง และทางอาญาแก่หลวงพ่อธัมมชโย และวัดพระธรรมกายอีก

รวมทั้งได้ทำหนังสือขอบคุณมายังคณะศิษยานุศิษย์ของหลวงพ่อธัมมชโย ที่มีน้ำใจเยียวยาช่วยเหลือ เต็มจำนวน

ประธานสหกรณ์ฯ ยังช่วยออกมาปฏิเสธข่าวที่คุณไพบูลย์ นิติตะวัน มาให้ข่าวว่า เงินก้อนนี้ลูกศิษย์วัดให้อย่างมีดอกเบี้ย และนำไปใช้จ่ายจริงไม่ได้ เพราะเงินก้อนนี้ไม่มีดอกเบี้ย มีประโยชน์มาก และใช้ได้จริง ทำให้สหกรณ์มีเงินหมุนเวียนไปจ่ายคืนสมาชิก

และยังบอกด้วยว่า มีแต่ลูกศิษย์วัดพระธรรมกายกลุ่มเดียวเท่านั้นที่เข้ามาเยียวยา กลุ่มอื่นไม่มีเลย

พร้อมบอกว่ารู้สึกเสียใจที่คนนอกมาให้ร้ายวัดพระธรรมกายและหลวงพ่อแบบผิดๆ

* + * + ผู้เสียหายไม่ติดใจ ดำเนินคดี ซ้ำยังมีหนังสือขอบคุณ แต่ทางดีเอสไอ กลับพยายามตั้งข้อหาจะเอาความผิดกับท่าน ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น * + * +
-------------------------------

= ? = ? = แปลกที่ 4 : หมายเรียกหลุดไปถึงสื่อก่อนได้ไง
มีความผิดปกติเกิดขึ้นอีกเป็นระยะๆ เช่น มีหมายเรียกหลวงพ่อธัมมชโยจาก DSI ส่งไปถึงสื่อมวลชนให้ออกข่าวไปทั่วประเทศ ก่อนที่จะส่งหมายเรียกมาถึงวัด

!!! ซึ่งถือว่าผิดขั้นตอนอีกแล้ว เพราะหมายเรียกจะเปิดเผยให้ผู้อื่นทราบเช่นนี้ไม่ได้ !!!

แล้วพอหมายเรียกมาถึงวัด ก็เป็นคนละฉบับกับที่ออกสื่อซะอีก ฉบับที่ออกสื่อไม่มีหมายเลข กับตัวสะกดชื่อหลวงพ่อก็ผิด

* + * + สงสัยมีคนทำหมายเรียกปลอม !!!
-------------------------------

= ? = ? = แปลกที่ 5 : มีเช็คแปลกปลอมมากล่าวหาด้วย
พยานหลักฐานในคดีที่กล่าวหานี้เป็นเช็คที่เกี่ยวข้องกับหลวงพ่อธัมมชโย จำนวน 11 ฉบับ แต่มีฉบับหนึ่งซึ่งลงจำนวนเงิน 100 ล้านบาท ทางวัดไม่เคยได้รับเลย ไม่เคยนำมาเข้าบัญชีหลวงพ่อด้วย ไม่รู้มาจากไหน มายังไง

+ ๐ + ทางวัดเลยให้ทนายไปแจ้งความไว้แล้วว่า มีเช็คแบบนี้มากล่าวหาด้วย + ๐ +
-------------------------------

= = = ถ้าไม่ผิด แล้วกลัวอะไร ทำไมไม่ไปมอบตัว ?
หลวงพ่อไม่ได้กลัวอะไรเลย แต่ท่านป่วย เดินทางไมไหวค่ะ
ปัจจุบัน หลวงพ่อธัมมชโยอายุ 72 ปี และมีอาการอาพาธเรื้อรังหลายโรคมาเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว

ทั้งโรคเบาหวานและภูมิแพ้อย่างรุนแรง เส้นเลือดอุดตันที่โคนขาซ้าย มีแผลติดเชื้อที่เท้าเรื้อรัง ทำให้ขาซ้ายของท่านใหญ่กว่าขาขวาเกือบเท่าตัว

และขอปฏิเสธข่าวจับผิดที่บอกว่า ภาพขาหลวงพ่อที่ออกสื่อใช้เทคนิคการเล่นกล เพราะเรื่องขาซ้ายท่านที่บวมอักเสบใหญ่กว่ากันเกือบเท่าตัวนี่ ลูกศิษย์ทุกคนเห็นท่านขาใหญ่ข้างเล็กข้างมาเป็นสิบปีแล้ว

เรื่องข่าวจับผิดนี้ ดิฉันไม่ทราบจะขำหรือสมเพชคนว่าร้ายดีนะคะ เพราะเขาดูถูกลูกศิษย์ว่าโง่ ถูกหลอกจูงจมูกด้วยมายากล จริงๆ ไม่ทราบใครโง่กันแน่ เพราะฝ่ายหนึ่งยืนยันจากสิ่งที่ตนเห็นจริง อีกฝ่ายหนึ่งมโนเอาเอง

+ + + คณะแพทย์ผู้ชำนาญโรคได้ออกมายืนยันว่า ท่านไม่ควรเดินทาง เพราะการสั่นสะเทือนระหว่างนั่งรถ ทำให้เสี่ยงต่อการมีลิ่มเลือดหลุดไปอุดตันที่ปอด ทำให้เสียชีวิตได้ !!!

ซึ่งอาการป่วยเหล่านี้ DSI ก็ทราบตั้งแต่มาพบท่านในเดือนมีนาคม 2558 ครั้งมาสืบพยานที่วัดพระธรรมกายแล้ว

+ ๐ + ขอย้ำอีกครั้งว่า ท่านไม่ได้เป็นอัมพาตนะคะ ท่านยังเดินในระยะใกล้ได้ แต่นั่งรถนานๆ ไม่ได้

ที่ต้องย้ำเพราะ เมื่อมีภาพหลวงพ่อปล่อยนกปรากฏในสื่อ หลายคนก็มารุมด่าว่าโกหก ไหนบอกเดินไม่ได้ไง

+ + + ทางวัดไม่เคยบอกหลวงพ่อเดินไม่ได้นะคะ มีแต่คนตีความเอาเองว่าท่านเดินไม่ได้ แล้วก็กลับมาด่าท่าน

แล้วข่าวก็ผิด ท่านปล่อยนกในวัดใกล้กุฎิ เห็นภาพก็รู้ แต่ข่าวบอกไปบ้านลูกศิษย์
-------------------------------

= = = หมายเรียกครั้งที่ 1
เมื่อ DSI ส่งหมายเรียกให้หลวงพ่อธัมมชโย ไปรายงานตัวครั้งที่ 1 ในวันที่ 29 มีนาคม 2559
หลวงพ่อธัมมชโยก็ยินดีเข้ากระบวนการ แต่ขอเลื่อนไปก่อน เพราะติดศาสนกิจ ซึ่ง DSI เลื่อนให้เป็นวันที่ 29 เม.ย. 59
-------------------------------

= = = ทำงานหนักมาก จึงป่วยก่อนนัดครั้งที่ 2
ก่อนถึงวันนัดตามหมายเรียกครั้งที่ 2 วัดพระธรรมกายมีการจัดงานบวชสามเณรในโครงการล้านรูปทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 2 - 23 เม.ย. และงานวันคุ้มครองโลกในวันที่ 22 เม.ย. ซึ่งทำให้หลวงพ่อต้องทำงานหนักอย่างต่อเนื่อง

+ + + โดยเฉพาะวันที่ 22 เม.ย. ซึ่งมีแขกต่างชาติกว่า 40 ประเทศมาถวายรางวัลให้หลวงพ่อธัมมชโย ท่านต้องรับแขกซึ่งมีทั้งระดับสมเด็จพระสังฆราช และตัวแทนประธานธิบดี

ท่านจึงต้องนั่งห้อยเท้านานเกือบ 2 ชั่วโมง ซึ่งปกติท่านจะนั่งห้อยเท้าได้แค่ประมาณครึ่งชั่วโมง ทำให้อาการอาพาธของหลอดเลือดดำอุดตันกำเริบหนักขึ้น
-------------------------------

= = = หมายเรียกครั้งที่ 2
พอถึงนัดครั้งที่ 2 ในวันที่ 29 เม.ย. 59 หลวงพ่อธัมมชโยยังคงอาพาธหนัก มีอาการวิงเวียนศีรษะ บ้านหมุนรุนแรงเฉียบพลัน มีปัญหาในการทรงตัว และมีอาการปวดหลัง ปวดขาซ้าย เนื่องจากกล้ามเนื้ออักเสบรุนแรง

ประกอบกับมีอาการเจ็บป่วยเรื้อรังและรุนแรงจากโรคเบาหวาน ภูมิแพ้ เส้นเลือดอุดตันที่โคนขาซ้าย มีแผลติดเชื้อที่เท้าเรื้อรัง คณะแพทย์ผู้รักษาลงความเห็นพักรักษาอาการ 15 วัน จึงไปตามหมายเรียกไม่ได้

ตอนสายของวันที่ 25 เม.ย. 59 ทีมทนายเดินทางไป DSI เพื่อขอเลื่อนนัด และมีทีมแพทย์ไปรอเพื่อชี้แจงอาการป่วย

ตอนแรกทาง DSI ดูใบรับรองแพทย์เสร็จแล้ว ก็ให้เลื่อนเป็นวันที่ 10 พ.ค. 59 โดยไม่ได้ให้ทีมแพทย์ชี้แจงใดๆ เลย

แต่ในช่วงบ่ายวันเดียวกัน ทาง DSI โทรศัพท์กลับมาแจ้งใหม่ว่า ไม่อนุญาตให้เลื่อนแล้ว จะออกหมายจับเลย
-------------------------------

= ? = ? = แปลกที่ 6 : เช้าให้เลื่อน บ่ายจะออกหมายจับ
คิดดูซิว่ามันแปลกไหม นี่เป็นการออกหมายเรียกครั้งที่ 2 เองนะ โดยปกติจะออกหมายเรียก 3 ครั้งก่อน จึงจะออกหมายจับ

* + * + ยิ่งแปลกกว่านั้น คือ ตอนแรก DSI เชื่อว่าป่วยจริง ให้เลื่อนได้ แพทย์เตรียมไปชี้แจง ก็ไม่สงสัย ไม่เรียกพบ

แต่พอคณะทนายและแพทย์กลับออกไปแล้ว กลับเปลี่ยนใจไม่เชื่อแล้วว่าป่วย !!!

@!@!@! มันเหมือนกับว่า คนตัดสินใจให้เลื่อนนัดครั้งแรก ไม่ใช่คนมีอำนาจตัวจริง พอตัวจริงรู้ว่าให้เลื่อนนัด จึงไม่ยอม ต้องสั่งเปลี่ยนเป็นออกหมายจับอย่างกระทันหัน

ที่จริง หาก DSI ไม่เชื่อ ก็ควรจะให้แพทย์จากหน่วยงานกลาง มาตรวจสอบอาการของหลวงพ่อว่า ป่วยจริงหรือไม่

+ + + แต่นี่ไม่มีเลย ทำเหมือนไม่ใช้เหตุผล นึกจะเปลี่ยนก็เปลี่ยน นึกจะออกหมายจับก็ออก

วันที่ 26 เม.ย. 59 ทาง DSI ส่งเจ้าหน้าที่ไปศาลอาญาขอให้อนุมัติหมายจับ แต่ศาลก็เห็นว่าหลวงพ่อธัมมชโยป่วยจริงและไม่คิดหลบหนี จึงไม่อนุมัติออกหมายจับ
-------------------------------

= = = ออกหมายเรียกครั้งที่ 3
DSI ออกหมายเรียกครั้งที่ 3 โดยนัดวันที่ 16 พ.ค. 59
ก่อนจะถึงวันนัด ทางวัดพระธรรมกายก็ไปส่งหนังสือเชิญเจ้าหน้าที่ DSI ให้เดินทางไปแจ้งข้อกล่าวหาที่วัดพระธรรมกาย

เพราะหลวงพ่อธัมมชโยยังไม่สามารถเดินทางไป DSI ได้เนื่องจากอาการหลอดเลือดดำอุดตันอย่างรุนแรง ที่หากได้รับความกระทบกระเทือนจากการเดินทางแล้ว ลิ่มเลือดอาจหลุดไปอุดตันที่ปอด ทำให้เสียชีวิตได้
-------------------------------

= ? = ? = แปลกที่ 7 : ไม่เชื่อว่าป่วย แต่ไม่ส่งแพทย์ไปพิสูจน์
DSI ปฏิเสธ ไม่ยอมนำเอกสารไปให้หลวงพ่อธัมมชโยเซ็นรับทราบที่วัดพระธรรมกาย เพราะไม่เชื่อว่าหลวงพ่อป่วยจริง

* + * + แต่ DSI ก็ไม่หาทางพิสูจน์ ไม่ส่งแพทย์ไปตรวจอาการของท่านเลย

ทำให้ดูเหมือนด่วนสรุปจากความคิดเห็นที่มีอยู่ในใจแล้วเท่านั้น

@!@!@! หรือเขาอยากเห็นหลวงพ่อตายระหว่างทางนะ จะได้เปลี่ยนโรคบ้าง ไม่ต้องติดเชื้อในกระแสโลหิตเหมือนหมอหยอง !!!
-------------------------------

= ? = ? = แปลกที่ 8 : ประโคมข่าวว่าจะหนี เหมือนเร่งให้ออกหมายจับ
ในระหว่างนั้น คุณไพบูลย์ นิติตะวัน และคุณมโน เลาหวณิช ซึ่งเป็นผู้ต่อต้านวัดพระธรรมกายมาโดยตลอด ก็ประโคมข่าวต่อสื่อมวลชนทุกสื่อว่า หลวงพ่อธัมมชโยเตรียมหนีไปสหรัฐอเมริกา

@ ! @ ออกข่าวว่าท่านมีวีซ่าตลอดชีพ ทั้งที่หลวงพ่อธัมมชโยไม่มีแม้แต่หนังสือเดินทาง แล้วจะมีวีซ่าได้อย่างไร

แล้วการที่คุณมโนมาให้ข่าวว่า หลวงพ่อมีวีซ่าตลอดชีพนี่ ถือเป็นการปล่อยไก่ตัวเบ้อเร่อ !!!

$ $ $ เพราะสถานทูตของสหรัฐอเมริกาในประเทศไทยยกเลิกวีซ่าตลอดชีพไปตั้งนานแล้ว !!!

อีกทั้งอาการอาพาธของหลวงพ่อธัมมชโยก็หนักเกินกว่าจะเดินทาง แค่เดินทางไป DSI ยังไปไม่ไหวเลย แล้วจะให้หนีไปไหน แล้วสมมุติว่าหนีไหว เดินทางไป DSI มิง่ายกว่าหรือ

ที่สำคัญ หลวงพ่อธัมมชโยท่านประกาศชัดเจนว่า ท่านจะไม่หนีไปไหน ท่านขออยู่ที่วัดพระธรรมกายตลอดชีวิต

* + * + แต่ทางราชการก็ดูเหมือนจะเชื่อข่าวว่าหลวงพ่อเตรียมหนี ตามที่คุณไพบูลย์กับคุณมโนได้ทำการมโนเอาไว้ จึงแถลงข่าวว่าสั่ง ตม.ทั่วประเทศสกัดจับไว้แล้ว
-------------------------------

= ? = ? = แปลกที่ 9 : เช็คเองได้ แต่เชื่อข่าวมากกว่า
มันน่าแปลกอีกแล้ว ทั้งที่เจ้าหน้าที่ DSI ซึ่งอยู่ในส่วนงานราชการที่สามารถตรวจสอบได้อยู่แล้วว่า หลวงพ่อมีพาสปอร์ตและวีซ่าจริงไหม แต่ทำไม DSI ถึงไม่ตรวจสอบให้ชัดเจน กลับไปคล้อยตามคุณไพบูลย์กับคุณมโน

@ ! @ หรือเรื่องนี้มันทำให้ การออกหมายจับดูชอบธรรมมากขึ้นคะ @ ! @
-------------------------------

= = = วันนัดตามหมายเรียกครั้งที่ 3
พอถึงวันที่ 16 พ.ค. 59 หลวงพ่อธัมมชโยยังมีอาการอาพาธหนักอยู่ จึงได้ส่งทนายนำใบรับรองแพทย์ไปขอเชิญทีม DSI ไปที่วัดอีกครั้ง

คราวนี้ DSI บอกว่าใบรับรองแพทย์ใช้ไม่ได้ แต่ก็ไม่ส่งแพทย์ส่วนกลางไปตรวจอาการหลวงพ่อ

DSI เดินทางไปที่ศาลอาญาในวันนั้นเลย เพื่อขอให้ศาลออกหมายจับครั้งที่ 2 ให้จับพระผู้ชราอายุ 72 ปี และมีอาการอาพาธเรื้อรัง
-------------------------------


คลิกอ่านตอนต่อไปได้ที่ โพสต์ของวันที่ 26/5/59 ตอนที่ 2ตามลิงค์นี้เลยค่ะ 
คลิ๊ก เผยความไม่ชอบมาพากล คดีวัดพระธรรมกาย ตอนที่ 2 
หรือทาง
หากต้องการติดตามประสบการณ์ของดิฉันเกี่ยวกับวัดพระธรรมกายเพิ่มเติม กรุณาเข้าไปอ่านที่ 
http://dhammakayafactsheet.blogspot.sg/2016/05/hot.html
==================
ไม่มีใครดี
ในสายตาคนขี้ระแวง
คนยิ้มก็บอกว่าเขาเยาะ
พูดเพราะก็ว่าตอแหล
ทำดีด้วยก็หาว่าหวังผล
ขอให้โชคดีและมีความสุขนะคะ
ชุลีพร ช่วงรังษี
www.facebook.com/OhLifeStory
Line : @OhLifeStory 
Instagram : Oh_Life_Story





Previous
Next Post »